
Blog
เด็กชายบุญส่ง นายอังคาร มหาสงครามเอเชียบูรพา และซากกรุงเก่า
- kwan
- กุมภาพันธ์ 10, 2025
การสัมภาษณ์เป็นการเก็บถ้อยคำที่ทำให้เห็นบริบทและเรื่องเล่าที่สะท้อนตัวตนของผู้เล่าได้ดีในระดับหนึ่ง ปกติแล้วมักผ่านการขัดเกลาและเรียบเรียงเพื่อให้อยู่ในลักษณะของบทความที่ทำให้อ่านลื่นไหลหรือเสริมมุมมองต่างๆ เข้าไป ดังเช่นที่ครั้งหนึ่งลูกสาวของเขาได้เคยชวนอังคารพูดคุยสั้นๆ เกี่ยวกับการผจญภัยเมื่อครั้งเป็นยุวชนทหารในวัยเด็ก และเก็บตกเรื่องเล่าแบบน้ำจิ้มเมื่อครั้งไปทำงานคัดลอกจิตรกรรมโบราณตามวัดวาอารามและเขตเมืองเก่า โดยบทความนี้จะนำเสนอในรูปแบบการถอดความตามถ้อยคำสัมภาษณ์ตามจริง
น่าจะเป็นช่วงอายุสิบห้าปีของนายบุญส่ง (ผู้ที่เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ‘อังคาร’ ในหลายปีหลังจากนั้น) สำหรับการร่วมปฏิบัติการเป็นยุวชนทหารในมหาสงครามเอเชียบูรพาเมื่อปีพ.ศ. 2484 สังกัดตำแหน่ง ‘กองระวัง’ บันทึกเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ตำบลท่าวัง จังหวัดนครศรีธรรมราช บ้านเกิดเมืองนอนของกวีจิตรกรผู้รังสรรค์อักษรวิจิตรที่ใครต่อใครมักเรียกเขาว่า ‘ท่านอังคาร’ เรื่องราวการเป็นยุวชนทหารนี้ เขามักกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งในสื่อที่ให้สัมภาษณ์ เรื่องเล่ากันเองในวงสนทนา รวมถึงบทสนทนาย่อยที่คนในครอบครัวเคยสัมภาษณ์ไว้ในบรรยากาศสบายๆ เมื่อใดก็ตามที่อังคารรำลึกเพื่อเล่าเรื่องนี้ ดวงตาของเขามักฉายประกายแวววาวที่แฝงด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
ท่านอังคารครั้งยังเป็นเด็กชายบุญส่ง
อ้อมแก้ว : พ่อเข้าไปในเครื่องบินได้ยังไงคะ ตอนกลางคืน
อังคาร : คือพ่อต้องการไปขโมยเอาชิ้นส่วนมาทำเครื่องบินน่ะ เครื่องบินนี่มันมีโลหะเบาเป็นพิเศษ อะไรที่บางๆ พอจะทำเครื่องบินได้ พ่อเอาหมด แล้วก็วันหนึ่งหมอบเข้าไปในสนามบิน เข้าไปในเครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษ ไปเจอน๊อต สกรูเป็นกองๆ เลย พวกญี่ปุ่นมันเอามาใส่ไว้ แล้วทหารสารวัตรหรือใครเดินมา ปกติเขาอาจจะเดินมาดูเครื่องบินก็ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าพ่ออยู่ในเครื่องบิน (หัวเราะ) น่ากลัว
อ้อมแก้ว : แล้วพ่อไปแอบกับเพื่อนหรือเปล่าคะ หรือไปคนเดียว
อังคาร : ไปคนเดียว เพื่อนเดี๋ยวมันกระโตกกระตาก พ่อนี่เป็นคนเงียบที่สุด ย่องไปไหนนี่ไม่มีใครจับได้
อ้อมแก้ว : ถ้าตอนนั้นเขาจับตัวพ่อได้จะเกิดอะไรขึ้น
อังคาร : เขาก็คงจับไป คงไม่ทำอะไร ส่วนมากทหารไทย แต่ถ้าญี่ปุ่นนี่ไม่ได้
อ้อมแก้ว : แล้วตอนนั้นตื่นเต้นไหมคะ หรือน่ากลัว
อังคาร : น่ากลัวลูก แต่พ่อเป็นคนไม่รู้ยังไง มันสู้น่ะ พ่อกลัวสิ เพราะว่าพอได้ยินเสียงก็ไฟฉายมาละ ไฟฉายกราดก็หมอบ แต่ไม่เห็นอะ มิน่าขโมยมันถึงเข้ามาไหนต่อไหน ใบพัดเครื่องบินก็มีแต่พ่อยกไม่ไหว
อ้อมแก้ว : แล้วตกลงพ่อได้อะไรไปบ้าง
อังคาร : พ่อก็ได้แต่อะลูมิเนียมอะ น๊อตเยอะแยะ เอาไปเท่าที่จะเอาได้
อ้อมแก้ว : เป็นเครื่องบินที่ตกแล้วใช่ไหมคะ
อังคาร : ในสนามบิน หมายถึงเครื่องบินเสียมั่งอะไรมั่ง ไม่ใช่เครื่องบินดี เครื่องบินที่ชำรุดน่ะ ไม่ได้ชำรุด หมายถึงมันต้องแก้ไข แต่ญี่ปุ่นมันเก่งมากนะลูก มันทำเครื่องบินได้ เครื่องบินทิ้งระเบิดด้วยนะ ใหญ่โต
อ้อมแก้ว : แต่มันก็เอาแบบมาจากตะวันตกไม่ใช่เหรอพ่อ
อังคาร : มันสร้างเอง แต่ไปเรียนจากตะวันตก นักเรียนญี่ปุ่นแต่ก่อนเขาปิดเยอรมันน่ะ แล้วมันขโมยสูตร มันได้สูตรสำคัญแล้วกลืนเข้าไปเลย กินยาตายให้ส่งศพมาญี่ปุ่น เสียสละชีวิตขนาดนั้นอะญี่ปุ่น มันรักชาติบ้านเมืองมันน่ะลูก แล้วสูตรนั้นตอนหลังเวลามันเปิดเมืองแล้วมันแอดวานซ์
อ้อมแก้ว : แล้วเรื่องกินยาตายนี่ใครเล่าคะ เรื่องจริงหรือเปล่า
อังคาร : อันนี้ใครเล่าไม่รู้ เรื่องจริงลูก ญี่ปุ่นนี่เรื่องชีวิตเรื่องเล็ก แต่ก่อนมันจะจมเรือรบนี่ ฝูงบินมิกาเซ่ที่แปลว่าลมเทพเจ้ามันจะพุ่งลงในปล่องเรือเลยลูก นี่ทันเลยในสมัยพ่อ พ่อเรียนอยู่เพาะช่าง พอเรือ Prince of Wales กับเรืออินฟรานส์ อ้อมสิงคโปร์จะไปทะเลจีนนะ มันพุ่งมาจมหมดทั้งสองลำเลยลูก อังกฤษตกใจ เป็นลูกระเบิดทั้งลำเลย หมายถึงเครื่องบินลำเดียวติดลูกระเบิดใหญ่ แล้วพุ่งลงไปในปล่องเรือก็ระเบิด เรือก็จม อังกฤษถึงกลัว เวลาเห็นเครื่องบินญี่ปุ่นต้องยิงให้ตกก่อน กลัวเป็นตอปิโดอากาศ
อ้อมแก้ว : มีทหารญี่ปุ่นอยู่ข้างในยอมสละชีพเลย
อังคาร : ญี่ปุ่นนี่เรื่องสละชีพเรื่องเล็กน่ะลูก
เอกสารจดหมายเหตุแสดงรายละเอียดเมื่อครั้งอังคาร กัลยาณพงศ์ เข้าร่วมปฏิบัติการมหาสงครามเอเชียบูรพา
อ้อมแก้ว : แล้วที่พ่อเคยบอกว่าไปขนลูกระเบิดให้ญี่ปุ่นนี่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าขนที่ไทยหรือขนที่ญี่ปุ่น
อังคาร : พ่อเป็นยุวชนทหาร พอญี่ปุ่นบุกนี่เขาต้องไปประชุมกันหมด เขาก็เข้าแถวกันที่โรงเรียนแล้วก็แยกกันไป ผู้ใหญ่นี่อาจจะไปช่วยทหาร แต่พ่อนี่เขาเอาไปขนกระสุน กระสุนเป็นลังๆ เลย พ่อนี่ตัวเล็กๆ ขนน้ำมันมั่ง กระสุนมั่ง ขนทั้งวัน
อ้อมแก้ว : ได้ตังค์ไหม
อังคาร : เฮ้ย ไม่มีอะไรให้หรอก
อ้อมแก้ว : อ๋อ เป็นอาสาสมัคร
อังคาร : ไม่ใช่ลูก ยุวชนทุกคนต้องทำ ยุวชนก็รู้อยู่แล้วนี่ สละชีพเพื่อประเทศชาติ ไม่ได้กินอะไรหรอก แต่แม่ค้าที่ตลาดเขาให้ขนมเป็นถาดๆ เลย ทุกอย่างล่ะเขาให้ ให้มาหมดทั้งตลาด แต่พ่อไม่กล้ากิน พ่อซื่อ เป็นเด็กซื่อบื้อ แล้วก็ซื่อตรงต่อหน้าที่ หมายถึงเห็นเขาให้ทหาร เราก็ไม่กล้ากิน แต่คนอื่นเขากินกันอิ่ม พ่อน่ะ กว่าจะได้กินก็มืดแล้ว สักทุ่มสองทุ่ม พ่อหิวมากวันนั้น
อ้อมแก้ว : พ่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ระเบิดลงบ้างหรือเปล่า
อังคาร : ตอนนั้นน่ะม.6 แล้ว กรุงเทพนี่บอมบ์ลงทุกแห่งอะลูก พ่อก็หลายแห่งที่ สมมุติระเบิดลงเทเวศร์ พ่ออยู่บางขุนเทียน แต่พ่อดูฝูงบินอยู่ มันมาเป็นฝูงๆ เลย
อ้อมแก้ว : แผ่นดินสะเทือนเลยหรือเปล่า
อังคาร : สะเทือนเลยลูก คิดดูสิมันมาเป็นฝูงใหญ่ เสร็จแล้วถ้ามันบอมบ์ลง มันเททีเดียว เขาเรียกเทกระจาด หมายถึงเทหมดลำเลย แล้วเสียงลูกบอมบ์ลงนะลูก เหมือนฟ้าร้องยาวๆ น่ะ วูววว (ทำเสียงเลียนแบบ) ไม่ใช่เสียงเดียวนะลูก เป็นเสียงยาวเลย แล้วมันราบเป็นตำบลเลย ทุกแห่งที่บอมบ์ลง บอมบ์แล้วพ่อก็ไปดู บอมบ์หลังสุดที่สะพานพุทธฯ พ่อก็ไปดู แต่ที่หนักที่สุดเขาว่าบางกอกน้อยน่ะลูก กลางคืนนี่นอนๆ อยู่สักตีหนึ่งตีสอง เสียงเครื่องบินมาละ แล้วมันยิงปืนลงมาที่ไฟฉาย กระสุนนี่เป็นทางไฟลงมาเลยลูก กระสุนเป็นไฟน่ากลัวมาก
อ้อมแก้ว : พ่อเคยเห็นกับตาหรือเปล่าตอนที่กระสุนลง
อังคาร : เห็นกับตาสิ
อ้อมแก้ว : พ่อเคยวิ่งหลบไหม
อังคาร : ต้องหลบ แต่ส่วนมากคลาดแคล้ว คือลงมาไม่ตรงทีเดียว พ่อมันไม่รู้ยังไงพ่อคลาดแคล้ว ไม่ค่อยได้โดน คิดดูสิเข้าไปเอาอะไรในเครื่องบินญี่ปุ่นนี่ แต่วันหนึ่งเครื่องบินมาจากโกตาบารุ มันซ้อนปีกกันแล้วตกกลางทุ่ง แต่นั่นไม่ตาย ทหารอากาศมันก็เรียกเรือไปรับ
อ้อมแก้ว : เครื่องบินตกแต่ไม่ตาย?
อังคาร : ไม่ตาย มันร่อนลง คือมันเก่ง มันถูกยิงที่มลายู มันประคองกันมา แล้วอีกลำมันคงเกิดสิ้นใจน่ะลูก สิ้นใจก็ตกปักลงในดิน แล้วอีกลำที่ไม่ตายมันก็ประคองมา มันคงเก่งอะมันรอด
อ้อมแก้ว : อันนี้พ่อเห็นเหตุการณ์เหรอ
อังคาร : พ่อไม่เห็นทีเดียวหรอก แต่ตกแล้วพ่อไปถึง
อ้อมแก้ว : แล้วพ่อทันเห็นนักบินไหม
อังคาร : นักบินน่ะไม่เห็นหรอก เพราะมันปักหัวตกละเอียด มันยังปักหลักไว้ ทางที่ไปเขาเรียกยวนแหล ประเทศไทย ที่นครฯ แต่อีกลำมันไปตกที่สะพานยาว มันเป็นช่วงน้ำหลากพอดี คิดว่าน้ำช่วยเอาไว้ แต่มันเก่ง มันไม่กางฐานล้อ ถ้ากางฐานล้อก็คว่ำ มันเก็บล้อหมด เก็บล้อแล้วร่อน
อ้อมแก้ว : ทำไมถ้ากางฐานแล้วต้องตายล่ะพ่อ
อังคาร : อ๋อ มันก็คันนงคันนา พื้นขรุขระที่มันชน มันก็ตีลังกาย่อยยับสิ ถ้าปิดฐานมันไถไปได้ ไถแบบตะเข้ แรงกระแทกมันก็เจ็บบ้างแต่ทนได้ ไอ้ที่นั่งเขามีกันกระแทกอยู่แล้วนี่ลูก ทหารญี่ปุ่นนี่มันเก่ง
อ้อมแก้ว : เครื่องบินนี่มันซ้อนกันมาเหรอพ่อ
อังคาร : ใช่ มันประคองกันมา คืออีกลำน่ะถูกยิง คนน่ะถูกกระสุนแต่มันยังไม่ตาย มันเป็นชาติที่เก่ง ประคองกันมาได้นี่แปลกนะลูก แต่ไอ้นั่นก็ไม่ตายทันที มันก็เดินเครื่องมาสิ เพื่อนสองข้างช่วยประคอง ลูกเข้าใจไหม อีกลำถึงสนามบิน อีกลำ ไอ้ลำที่บาดเจ็บน่ะมันจะตกมันก็ตีเอาข้างท้ายฉาก ตีเอาอีกเครื่องหนึ่ง บั้นท้ายน่ะขาด ก็เลยต้องร่อน น่ากลัวน่ะ แล้วไอ้โลหะที่มันทำเครื่องบินนี่ประหลาดนะ เรานึกว่าอะลูมิเนียมแต่ไม่ใช่หรอก มันเบาแต่แข็งและเหนียว ทำมีดได้ พ่อนี่เที่ยวเก็บชิ้นส่วนเครื่องบินไว้เยอะ พ่ออยากได้ใบพัดแต่มันหนัก
อ้อมแก้ว : แล้วตอนนี้พ่อมีชิ้นส่วนเครื่องบินอะไรเก็บไว้บ้างคะ
อังคาร : คือพ่อเก็บไว้ที่บ้านเก่าน่ะ มีหลานเยอะแยะไม่รู้มันเอาไปไหนหมด มันเป็นพวกน๊อต สกรู สายไฟน่ะลูก ของใหญ่ๆน่ะเอามาไม่ได้หรอก ปืนกลก็ถอดไม่ได้ พ่อนี่เสี่ยงตาย ถ้าญี่ปุ่นจับได้นี่ (หัวเราะ)
อ้อมแก้ว : ไหนเล่าเรื่องที่ทหารญี่ปุ่นจับเด็กไทยทำโทษให้ฟังหน่อย
อังคาร : พวกญี่ปุ่นนี่มันโหดมากลูก ถ้ามันจับได้ว่าโขมยของนี่มันเอาเด็กคนนั้นฝังลงพื้นเลย ฝังให้เหลือแค่หัวโผล่ขึ้นมาน่ะ แล้วก็ทิ้งไว้กลางแดดทั้งวันทั้งคืนจนเด็กตายเลย มันโหดมาก
อ้อมแก้ว : พ่อเข้าไปในสนามบินไทยด้วยใช่ไหม
อังคาร : สนามบินไทยนี่ ญี่ปุ่นจะกลับแล้ว เข้าไม่ได้หรอก วางยามแข็งขัน เครื่องบินของเราไม่มีความหมายอะไรหรอก ต้องเข็นไปไว้ในป่าช้า ตรงนั้นมันเป็นป่าช้าจีน ต้องถอดใบพัดทำให้ขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นนี่พอตีห้ามันลองเครื่องแล้ว มันลองปืนกล โอ๊ย ดังสนั่นหวั่นไหว ปู่น่ะนะ ปู่หูตึงไปหน่อยฟังเสียงปืน มันลองทั้งวันทั้งคืนตั้งแต่ตีห้า ปุๆๆๆ (เลียนเสียงปืน) เอ๊ะมันไม่กลัวเปลืองกระสุนนะลูก ยิงไปทางเขาวิหารใหญ่ ไม่รู้ลูกกระสุนมันโดนไหม ที่นครฯ น่ะมันยึดสนามบินอยู่
อ้อมแก้ว: ตอนนั้นพ่อบอกว่าได้ยินเสียงเคาะบนศาลาวัดปราสาทใช่ไหมคะ
อังคาร: ไอ้นั่นเคาะในโบสถ์ลูก ไอ้นั่นพ่ออยู่คนเดียว มันน่ากลัวตอนอยู่คนเดียว
อ้อมแก้ว: แล้วทำไมพ่ออยู่คนเดียว
อังคาร: ก็ไอ้นั่นพ่อต้องคัดลอกคนเดียว ตอนนั้นเลิกที่อยุธยา เพชรบุรี ศรีสัชนาลัย แล้ว
อ้อมแก้ว: ไหนพ่อเล่าเหตุการณ์ตอนได้ยินเสียงเคาะหน่อย
อังคาร: เคาะเหมือนยังงี้ (ทำเสียงเคาะกับพื้น) แต่มันดังกว่านี้ บนเพดาน พ่อก็รู้แล้วว่าผี แต่พ่อก็เอาตะเกียงรั้ว มีดเดินป่า ขึ้นไปเลย กะจะสู้ แทงผี แต่ไม่เจออะไร เสียงก็ไปอยู่ที่ศาลา พ่อก็ออกมาตวาด เสียงก็มาอยู่ที่คันทวยอีก พ่อก็ออกฤทธิ์เลย ก็หาย บอกกูเกิดมาจะทำประโยชน์ใหญ่ เงียบเลย พ่อก็เล่าห้วนไปเนอะ แต่ดีละ คนเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจ
อ้อมแก้ว: ตอนพ่อไปครั้งนั้นกรมศิลป์ฯ เขายังไม่ได้ทำนุบำรุง ยังเป็นป่ารกชัฏอยู่ใช่ไหมคะ
อังคาร: ยัง ตอนนั้นเขายังไม่ขึ้นทะเบียน มันมีแต่พวกขโมย เก็บของเก่า ไม่มีใครหรอก มีแต่ป่า นอกจากพวกที่อยากจะขุดทรัพย์น่ะ ไม่ได้เหมือนเดี๋ยวนี้นะลูก มันไม่มีคน มีงูเห่า เสือก็มีที่ศรีสัชนาลัย แต่เป็นเสือตัวเล็กๆ
อ้อมแก้ว: มีแต่พ่อกับอาจารย์เฟื้อสองคนเหรอ
อังคาร: ไม่มี ใครจะไปล่ะ สองคนเท่านั้น อยู่กันนานหลายปี
อ้อมแก้ว: ตอนนั้นมีเค้าโครงของความเป็นเมืองเก่ามากกว่านี้ไหมคะ
อังคาร: มันยังสนุกสิลูก มันมีซากเก่าเต็มที่เลย มันถางก็ได้ที่จริง แต่ต้นไม้บางต้นต้องเอาไว้ มันทำไม่เป็น แต่ก่อนพ่อเจอทั้งนั้นล่ะ ยักษ์เยิกที่ล้ม ยักษ์วัดพระแก้วก็เอามาจากของโบราณ เขาก็เที่ยวยกซากที่ตก บางแห่งมันก็ยกเอาไปถม อย่างวัดนางพญานี่เขาก็ขนดินไปทิ้งข้างวัด ถ้าไปรื้อก็ยังเจอ มันทำแบบงานกรรมกรน่ะ มันไม่ทำแบบโบราณคดี โบราณคดีเพิ่งเกิดน่ะลูก ใช้ไอ้พวกชาวบ้านน่ะถาง ต้องไปกับพ่อ พ่อเห็นของโบราณ เกิดไปแล้วไม่รู้มันก็ลำบากน่ะ นอกจากมีใจรักจริงๆ เที่ยวศึกษาเล่าเรียน พ่อนึกว่าพ่อลำบากแล้วนะ ปรากฏว่ามีพ่อคนเดียวที่ได้ไปแบบนั้น คนอื่นไม่มีอะพวกศิลปากร พ่อนี่ไปสมัยมันร้างอยู่ทุกแห่ง ตอนหลังนี่พ่อพาคนไปหลายชุดเหลือเกิน พ่อเกิดมาทันพอดีเลยรอยเชื่อม พ่อเคยไปวัดมเหยงสมัยวัดร้างนะลูก พอถึงกลางทุ่ง โหรเขาได้ยินเสียงประโคมเลยลูก มีเสียงระนาดมาตามลม ประหลาด ดังสนั่นหวั่นไหว ทีแรกนึกว่าพวกทรานซิสเตอร์เปิด ประหลาดมาก วัดมเหยงนี่เป็นของพระเจ้าท้ายสระ ดังชัดเจนเลย อาจจะมีบุญก็ได้ลูก เขาประโคมเวลาไป โหรยังเลิ่กลั่ก แต่ปรากฏไม่มีใคร พ่อยังเก็บไว้นี่ทองสมัยพระเจ้าท้ายสระไว้ แต่เป็นลงรัก เขาเรียกสมุก เก็บอยู่กลางทุ่ง มันคงมาจากวัดไหน เขาใช้กระดาษข่อยเนี่ย สมุดเขาเผาด้วยขี้เถ้าหญ้าคาหรือกระดาษข่อย เอาบดละเอียดแล้วผสมรักลง
อ้อมแก้ว: พ่อเก็บวัตถุโบราณมาด้วยใช่มั้ยคะ
อังคาร: พ่ออยู่หลายวัดน่ะลูก
อ้อมแก้ว: พ่อได้ไหว้ขอก่อนไหม
อังคาร: พ่อต้องมีหน่อยสิลูก บอกว่าพ่อจะทำประโยชน์
อ้อมแก้ว: ก็เลยไม่เจออะไรแปลกๆ?
อังคาร: ไม่มีอะลูก พ่อเอามาเป็นครู เป็นแบบอย่าง เนี่ยลูก ปืนที่พม่ายิง พ่อเดินบุกวันเขาขุดกัน พ่อยังให้มิวเซียมเลย พัธเสมดินเผา ให้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
เอกสารแสดงรายละเอียดการว่าจ้างนายอังคารให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมคัดลอกจิตรกรรมโบราณ
อ้อมแก้วปิดบทสนทนาเพราะให้อังคารได้พักก่อน เธอเห็นว่าเขาอายุมากแล้ว เล่าเรื่องนานจะทำให้เหนื่อยได้ โอกาสเล่ายังมีอีก เธอคิดเช่นนี้ในตอนนั้น ยังมีการปะติดปะต่อบางเรื่องราวและภาพทรงจำในครั้งถัดๆ มา ทั้งจากคนในครอบครัวหรือเรื่องเล่าจากคนร่วมยุคเหตุการณ์อีกมากมาย เหล่านี้ถูกถอดความและบันทึกไว้ให้กลายเป็นเนื้อหารองรับเอกสารจดหมายเหตุ เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับเรื่องเล่า ดังเช่นเอกสารสำแดงบัญชีรายนามผู้เข้าร่วมปฏิบัติราชการมหาสงครามเอเชียบูรพา (ภาพที่แนบอยู่ในบทความ) เป็นเอกสารที่พบเมื่อครั้งจัดทำหอจดหมายเหตุฯ เรื่องเล่าและภาพทรงจำของเขาจึงชัดเจนขึ้น เผยให้เห็นปูมประวัติศาสตร์บางส่วน ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามที่เกิดในประเทศไทยยุคเก่า โยงใยส่วนหนึ่งของตัวตนวัยเด็กในนาม ‘บุญส่ง’ และซากอิฐของวัดและวังครั้งกรุงเก่าที่ท่าน ‘อังคาร’ เก็บมาศึกษาและสะสม ที่ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงวัตถุจริงให้ชมในหอจดหมายเหตุและผลงานของอังคาร กัลยาณพงศ์